พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ทรงเป็นนักดนตรีที่มีพระปรีชาสามารถสูงพระองค์หนึ่ง และได้ทรงใช้พระปรีชาสามารถนี้ให้เป็นประโยชน์ต่อการสร้างสัมพันธภาพอันดีให้เกิดขึ้นในมวลมนุษยชาติ
วันทรงดนตรี
เป็นหนึ่งในตัวอย่างของการที่ทรงนำพระอัจฉริยภาพด้านดนตรีมาใช้เป็นสื่อกลางในการสร้างความสมานฉันท์
โดยได้เสด็จพระราชดำเนินเป็นการส่วนพระองค์ ไปทรงดนตรียังมหาวิทยาลัยต่างๆ
เป็นประจำทุกปี
สำหรับในระดับชาตินั้น
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงประสบความสำเร็จในการใช้ดนตรีเป็นภาษาสากลสร้างมิตรภาพระหว่างประเทศได้อย่างงดงาม
ดังเมื่อคราวเสด็จพระราชดำเนินเยือนสหรัฐอเมริกา
ในปี 2503 ระหว่างงานถวายเลี้ยงพระกระยาหารค่ำที่วอชิงตันเพลส
ทรงได้รับการกราบบังคมทูลเชิญให้ร่วมบรรเลงดนตรีกับวงดนตรีที่จัดแสดงถวายหน้าพระที่นั่ง
โดยไม่ได้ทรงเตรียมพระองค์มาก่อน
สร้างความประทับใจแก่ผู้ร่วมงานในวันนั้นอย่างยิ่ง
และยังได้เสด็จพระราชดำเนินไปทรงดนตรีร่วมกับวงดนตรีของนายเบนนี่ กู๊ดแมน
นักดนตรีแจ๊สระดับโลก ที่มหานครนิวยอร์ค
ซึ่งทรงสามารถบรรเลงโต้ตอบได้อย่างครื้นเครง
จนได้รับการถวายคำยกย่องในฐานะทรงเป็นนักดนตรีแจ๊สที่มีอัจฉริยภาพสูง
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงศึกษาดนตรี
เป็นบทความที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงพระนิพนธ์ไว้เมื่อ พ
. ศ . ๒๕๓๐ เนื่องในวโรกาสมหามงคลที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ทรงมีพระชนมายุครบ ๖๐ พรรษา
และมีผู้ขอพระราชทานไปพิมพ์เผยแพร่ในสิ่งพิมพ์ต่างๆหลายครั้ง รวมทั้งในหนังสือ ธ
สถิตในดวงใจนิรันดร์ เมื่อ พ . ศ . ๒๕๓๙
พระนิพนธ์
ข้าพเจ้าเพิ่งไปชมนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ที่กรมศิลปากรจัดขึ้นที่ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย
ส่วนที่เกี่ยวกับการดนตรีมีภาพถ่ายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงดนตรี
โน้ตเพลงพระราชนิพนธ์ เครื่องดนตรีส่วนพระองค์หลายชนิด โน้ตเพลงและเครื่องดนตรีบางส่วนที่มิได้แสดงไว้ที่ศูนย์วัฒนธรรม
ผู้ที่สนใจอาจจะไปชมได้ที่หอรัชมงคล สวนหลวง ร . ๙
ผู้ที่สนใจในด้านดนตรีเคยมาไต่ถามข้าพเจ้าว่า
ทราบบ้างไหมว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเรียนดนตรีมาอย่างไร ซึ่งก็ตอบลำบาก
เพราะเป็นเรื่องก่อนเกิดที่ไม่ได้เห็นด้วยตนเอง ทราบบ้างตามที่ทรงเล่า
จึงได้ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตเล่าให้ผู้อื่นฟังถึงวิธีการเรียน
เผื่อจะเป็นคติที่เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น ก็ได้พระราชทานพระบรมราชานุญาต
เมื่อทรงศึกษาอยู่ในโรงเรียนทั้งในประเทศไทยและประเทศสวิตเซอร์แลนด์
ก็ได้ทรงเรียนขับร้อง แต่ไม่ได้เรียนโน้ต เมื่อพระชนมายุได้ ๑๓ ปี
ได้ทรงเรียนแอคคอร์เดียนได้ไม่มากนัก เพราะไม่สนพระทัย ( ทรงเรียกว่าไม่ติด )
สมเด็จพระพี่นางฯ
และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลทรงเรียนเปียโน
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมิได้ทรงเรียน แต่เมื่อมีพระชนม์ได้ประมาณ ๑๔ - ๑๕ ปี
ได้เสด็จพระราชดำเนินไปที่ภูเขา ได้ทอดพระเนตรวงดนตรีที่เขาเล่นที่โรงแรมก็โปรด
มีพระราชประสงค์จะทรงแตร แต่สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีไม่ทรงเห็นด้วย
เพราะเหตุว่าการเป่าแตรต้องใช้กำลังมาก อาจเป็นอันตรายแก่สุขภาพได้
จึงทรงผ่อนผันให้เล่นแซกโซโฟนแทน
ครูสอนดนตรีชื่อ นายเวย์เบรชท์ (Weybrecht) เป็นชาวอัลซาส
(Alsace) ซึ่งเป็นแคว้นของฝรั่งเศสที่พูดภาษาเยอรมัน
เวลาพูดภาษาฝรั่งเศสยังมีสำเนียงเยอรมันติดมาบ้าง
นายเวย์เบรชท์ทำงานอยู่ร้านขายเครื่องดนตรี ( ขายทุกๆ ยี่ห้อ )
และยังเป็นนักเป่าแซกโซโฟนอยู่ในวงของสถานีวิทยุ
เขาเล่นดนตรีได้หลายอย่างรวมทั้งคลาริเนตด้วย
แซกโซโฟนที่ทรงเล่นตอนนั้นเป็นของเก่า ( เก่าแปลว่าใช้แล้ว ไม่ใช่ของโบราณ )
ราคา ๓๐๐ ฟรังค์สวิส " รัฐบาล " คือสมเด็จพระศรีฯ
พระราชทานเงินสนับสนุน ๑๕๐ ฟรังค์ ส่วนอีก ๑๕๐ ฟรังค์เอาเงินสโมสรออก ( เป็นเงินที่พระเจ้าอยู่หัว
๒ พระองค์ทรงเข้าหุ้นกัน )
เมื่อครูมาตอนแรกๆ พระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลไม่ทรงเรียน
อยู่มาวันหนึ่งไปทรงซื้อคลาริเนตมา ขอเรียนด้วย ครูเวย์เบรชท์มาสอนสัปดาห์ละ ๒
ครั้ง ครั้งละครึ่งชั่วโมงต่อพระองค์ ( เรียนทีละพระองค์ เพราะเรียนคนละอย่าง )
เรียนไปได้สักปีหนึ่งก็เปลี่ยนเป็นเรียนสัปดาห์ละครั้งเดียว
เมื่อพอจะเล่นได้ครูก็เขียนโน้ตเพลงให้เล่นได้ ๓ คน เป็น Trio มีคลาริเนต ๑ แซกโซโฟน ๒ เพลงที่เล่นเป็นพวกเพลงคลาสสิก
ตอนเล่นเพลงด้วยกันนี้เล่นฟรีครูไม่คิดค่าสอน แม้แต่ค่าสอนก็คิดไม่แพง
คือครั้งละ ๓ ฟรังค์ ถ้าไปโรงเรียนดนตรีจริงๆ เขาจะเรียก ๕ ฟรังค์
ครูคนนี้มาสอนให้ถึงบ้านด้วยนอกจากการเล่นเครื่องดนตรีแล้ว
ครูยังสอนวิชาการดนตรีให้ด้วย รวมทั้งการเขียนโน้ต สเกลต่างๆ
คลาริเนตนั้นทรงเอาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลมาทรงเป่า
ครูเวย์เบรชท์แนะนำ ๒ - ๓ ครั้ง สำหรับแตรนั้น สนพระทัยจึงไปเช่ามาเล่น
เขาให้เช่าทีละเดือน ครั้งแรกที่เช่ามาเป็นแตรคอร์เนต อีกหลายปีจึงทรงซื้อเอง
ดูเหมือนว่าแตรทรัมเปตเครื่องแรกที่ทรงซื้อจะเป็นแตรยี่ห้อเซลเมอร์
สั่งซื้อจากอังกฤษ แต่เป็นของฝรั่งเศส ( เครื่องนี้พระราชทานวงสุนทราภรณ์ไป )
ภายหลัง ( สัก ๓๐ กว่าปีมาแล้ว ข้าพเจ้ายังไม่เกิด )
จึงซื้อใหม่ยี่ห้อเซลเมอร์เหมือนกัน ครูเวย์เบรชท์บอกว่าแตรดีที่สุดคือ
ยี่ห้อกูร์ตัว แต่ไม่ได้ทรงซื้อ เพิ่งซื้อเมื่อปีที่แล้วนี่เอง ( พ . ศ . ๒๕๒๙ )
คลาริเนตที่ทรงใช้แต่แรกยี่ห้อเลอบลองค์ แซกโซโฟนยี่ห้อ เอส เอ็ม แอล (Strasser Marigaux Lemaire)
สำหรับเครื่องดนตรีต่างๆ ที่ทรงเล่นมี เปียโน
ไม่เคยทรงเรียนจริงจังจากใคร เล่นเอาเองดูโน้ต เรียนวิธีประสานเสียง
กีตาร์
ทรงเล่นเมื่อพระชนม์ราว ๑๖ พรรษา
เพื่อนที่โรงเรียนเป็นรุ่นที่อายุมากกว่าให้ยืมเล่น ภายหลังเอาไปคืน
เขาเห็นว่าสนใจจึงให้เลย
ขลุ่ย ทรงเมื่อพระชนม์ประมาณ ๑๖ - ๑๗ พรรษา เห็นว่าราคาไม่แพงนัก
เล่นไม่ยากนิ้วคล้ายๆ แซกโซโฟน
คุณพระเจนดุริยางค์เป็น
อีกท่านที่กราบบังคมทูลแนะนำเกี่ยวกับการดนตรี โปรดคุณพระเจนฯ มาก
ทรงพิมพ์ตำราที่คุณพระเจนฯ ประพันธ์ขึ้นทุกเล่ม
ระหว่างการพิมพ์และตรวจปรู๊ฟได้ความรู้เกี่ยวกับดนตรีมาก
ส่วนไหนที่ไม่เข้าพระทัยก็มีรับสั่งถามคุณพระเจนฯ เรื่องการพิมพ์หนังสือนี้
คุณแก้วขวัญ วัชโรทัย เลขาธิการพระราชวังคน ปัจจุบันทราบดี
เพราะเป็นผู้ที่ทรงมอบหมายให้ดำเนินการ ได้ทราบว่าคุณพระเจนฯเองก็ปรารภว่าในด้านทฤษฎีไม่ทรงทราบมากนัก
แต่ทำไมเคาะเสียงถูกต้องทุกที รับสั่งเล่าว่า คุณพระเจนฯ เป็นคนถือธรรมเนียมว่า
สอนพระเจ้าแผ่นดินไม่ได้ แต่จะแนะนำถวายหรือกราบบังคมทูล
สมัยทรงพระเยาว์บางทีทรงซื้อแผ่นเสียงมาฟัง
ถ้าเป็นแผ่นเสียงเพลงคลาสสิก "รัฐบาล" ให้ ถ้าเป็นเพลงแจ๊สต้องออกเอง
ทรงเล่นแตรอยู่พักหนึ่งเกิดปวดพระศอเล่นไม่ได้ เลิกไปนาน
ภายหลังจึงลองเป่าอีก ปรากฏว่าทรงพระสำราญดี ตอนหลังเคยเห็นทรงไวโอลินด้วย
คิดว่าทรงเล่นเอาเองไม่มีครูสอน
นอกจากทรงเล่นดนตรีแล้วยังทรงสอนให้ผู้อื่นเล่นด้วย
เคยเล่าพระราชทานว่าได้สอนคนตาบอดเล่นดนตรี สอนลำบากเพราะเขาไม่เห็นท่าทาง
เมื่อพยายามอธิบายจนเข้าใจสามารถเป่าออกมาเป็นเพลงไพเราะได้
หรือแม้แต่โน้ตเดียวในตอนแรก ดูสีหน้าเขาแสดงความพอใจและภูมิใจมาก
ทรงแนะนำวิธีการเล่นดนตรีพระราชทานผู้อื่นที่มาเล่นดนตรีถวายหรือเล่น
ร่วมวง ดูเหมือนจะเคยมีรับสั่งว่าการเล่นดนตรีทำให้เกิดความสามัคคี
ว่าเป็นนักดนตรีเหมือนกัน
เมื่อประมาณเกือบ ๒ ปีมาแล้ว ที่สกลนครทรงนำแตรไปด้วย
และได้มีพระราชกระแสเกี่ยวกับเรื่องแตรกับคุณหมอทวีศักดิ์ ซึ่งเล่นแตรในวง อ . ส
. เคยเรียนแตรมาหลายปีแล้ว ข้าพเจ้านั่งอยู่ตรงนั้นพร้อมกับคนอื่นๆ อีกหลายคน
คิดอยู่ว่าน่าจะเรียนบ้าง เพราะตอนนี้ฟังท่านคุยกันไม่รู้เรื่อง
ต่อมาแปรพระราชฐานไปที่จังหวัดนราธิวาส
ข้าพเจ้าพยายามไปฟังพระราชกระแสเรื่องแตรนี้อีก คงจะทรงเห็นข้าพเจ้าดูอย่างสนใจ
จึงยื่นแตรพระราชทานและสั่งให้ไปยืนเป่าอยู่ไกลๆ เป่าเท่าไรเสียงก็ไม่ออก
จนในที่สุดเสียงออกมาดัง " ปู่ " เป็นเสียงต่ำมาก ทรงพระสรวล
มีรับสั่งว่าเสียงแบบนี้ไม่มีใครเขาเป่ากัน
เมื่อกลับกรุงเทพฯ
แล้วข้าพเจ้าให้คนไปซื้อแตรทำในประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนมา (
ข้าพเจ้าชอบแตรขึ้นมาก เพราะซื้อด้วยน้ำพักน้ำแรงของตนเอง ) ราคา ๓ , ๐๐๐ บาท ไปแนะนำให้คนอื่นๆ ที่ตามเสด็จซื้อแตรชนิดต่างๆ มา
ส่วนมากจะซื้อยี่ห้อเดียวกับข้าพเจ้า แต่ผู้ซื้อทีหลังกลับได้ราคาต่ำกว่า
เมื่อทรงเห็นมีเครื่องดนตรีกัน จึงทรงนึกสนุกสอนให้พวกเราเป่าแตรกัน
เริ่มด้วยข้าพเจ้าเป็นนักเรียนหมายเลข ๑ เป็นหัวหน้าชั้น
ที่จริงข้าพเจ้าอยากเรียนคลาริเนต เพราะได้เห็นการเดี่ยวคลาริเนตเพลงไทย
ไพเราะมาก แต่มีรับสั่งให้เรียนแตรไปก่อนเพราะเสียงดังดี ( วงของเราเป็น Brass
Band) และการดูแลรักษาแตรง่ายกว่าคลาริเนต
ภายหลังเมื่อเป่าแตรพอได้แล้ว จึงมีรับสั่งว่าถ้าอยากเล่นคลาริเนตเมื่อไรให้ทูลขอ
ไม่ต้องไปซื้อ แต่ข้าพเจ้าก็ยังไม่อยากเป่าเห็นว่ายังเป่าแตรไม่เก่ง
ทรงสอนตั้งแต่เรื่องส่วนต่างๆ ของแตร กำพวด (mouth piece) ต่างกันเสียงก็ต่างกัน เป่าได้ยากง่ายต่างกัน เริ่มต้นเป่าเสียงต่างๆ
ทีละเสียง เริ่มแต่เสียงที่ไม่ใช้นิ้วกด ต้องหัดทำปากให้แข็งๆ ( ทำยากมาก )
เป่าให้สูงขึ้นทุกทีๆ เช่น โด ซอล โด มี
ภายหลังจึงเรียนเสียงอื่นที่ต้องใช้นิ้วเรียนเสกล บางทีก็ทรงให้หมอทวีศักดิ์สอน
เมื่อเล่นเสียงต่างๆ พอจะได้ก็ให้เล่นเพลงง่ายๆ เช่น เพลง Three Blind
Mice, Old Folk at Home, Home Sweet Home เวลาเล่นข้าพเจ้ามักขี้โกง
ใช้จำเอาแทนที่จะดูโน้ต ทรงบังคับให้ดูโน้ตไปพลางจนอ่านโน้ตออก
จากเพลงพื้นฐานก็ทรงเขียนแบบฝึกหัดให้หัดเป่า และโน้ตเพลงต่างๆ
ให้เล่นประสานเสียงกัน บางทีพวกเราก็ไปหาเพลงจากข้างนอก (
เรียกว่าเพลงนอกหลักสูตร ) มาเล่น เช่น เพลงไทย อย่าง คลื่นกระทบฝั่ง
ลาวดวงเดือน ลาวดำเนินทราย ลาวคำหอม นกขมิ้น มาเล่น
ภายหลังทรงมีวิธีหัดให้เป่าเสียงยาวๆ และแม่นยำ
โดยการให้เป่าแตรแบบทหาร เช่น แตรนอน ขณะนี้แทนที่จะเป่าคนเดียวทั้งหมด
ต้องเล่นคนละโน้ตแบบเล่นอังกะลุง เป็นการฝึกหัดปาก (
เพราะเป็นเพลงที่ไม่ใช้นิ้วเลย ) แตรกินข้าวถูกให้เป่าทีละคน แตรเคารพ
เสียงสุดท้ายต้องเป่าให้ยาวจนหมดลม
การฝึกที่หนักที่สุดคือการเดินแถวแล้วเป่าไปพลาง
เมื่อโดนเข้าด้วยตนเองทำให้เห็นใจทหารที่ต้องเป่าเป็นชั่วโมงๆ ในวันสวนสนาม
บางเพลงที่ทรงเขียนโน้ตพระราชทานมีบทที่ต้องเล่นเดี่ยว (Solo)
ส่วนมากจะทรงเอง ให้พวกเราเล่นเสียงประสานให้ถูกต้อง
บางทีเคยให้เราเล่นบท Solo เหมือนกัน (
แต่เขียนบทพระราชทาน )
มีรับสั่งว่าการสอนดนตรีนี่เองที่ทำให้สนพระทัยคอมพิวเตอร์
ทรงหาโปรแกรมที่เขียนโน้ตได้ ได้ทรงเขียนโน้ตบางเพลงด้วยคอมพิวเตอร์
พระราชทานแจกให้เล่น และได้ทรงพระราชนิพนธ์เพลงด้วยคอมพิวเตอร์
แต่ยังไม่เป็นที่พอพระราชหฤทัยจึงยังไม่ออกเผยแพร่
ทรงทราบวิธีการซ่อมแตรเป็นอย่างดี
โดยทรงทราบจากพระเจนดุริยางค์ จากร้านซ่อม - ขายเครื่องดนตรีที่ทรงรู้จัก
และจากการสังเกต ทรงรู้จักลักษณะพิเศษของแตรทุกยี่ห้อ ข้าพเจ้าไปอินเดียก็ซื้อแตรทำในอินเดียมาถวาย
น้องข้าพเจ้าไปเกาหลีก็ซื้อแตรเกาหลีมาถวาย
ทรงสอนให้ช่างซึ่งไม่เคยทราบเรื่องแตรเลยซ่อมแตรได้
ในโอกาสสำคัญๆ เช่น
วันเฉลิมพระชนมพรรษาพวกเราวงดนตรีที่ได้รับพระราชทานชื่อว่า
"วงสหายพัฒนา" ได้เล่นเพลงถวาย ใช้เพลงสดุดีมหาราชา เพลงทรงพระเจริญ
และเพลงอื่นๆ ถือเป็นการแสดงความจงรักภักดีและแสดงความกตัญญูแก่ผู้เป็น
"ครู" ตามประเพณีของไทยด้วย
|
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น